
การตรวจคัดกรอง
และการวินิจฉัยมะเร็งเต้านม

ความรู้ทั่วไปสำหรับประชาชน
ผศ.นพ. ธเนศ เดชศักดิพล
อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา
โรงพยาบาลรามาธิบดี


การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม (Breast Cancer Screening)
จากการศึกษาที่อ้างอิงฐานข้อมูลโรงพยาบาลในมาเลเซียและสิงคโปร์พบว่าผู้หญิงเอเชียเกือบครึ่งหนึ่ง
ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมก่อนอายุ 50 ปี การตรวจคัดกรองมะเร็งคือการตรวจหาโรคก่อน
ที่ร่างกายจะแสดงอาการ
การตรวจคัดกรองอย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีที่เชื่อถือได้ในการค้นหามะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะแรก ซึ่งเป็นระยะที่การรักษามักประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่า1 2 3
วิธีการตรวจคัดกรอง


แมมโมแกรมคือการเอกซเรย์เต้านมที่ช่วยให้แพทย์เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน อาจสามารถพบมะเร็งเต้านมได้ล่วงหน้าหลายปีก่อนที่จะคลำเจอ5
• การตรวจครั้งแรกเรียกว่า Baseline Mammogram ซึ่งช่วยให้แพทย์รู้ว่าเต้านมของคุณมีลักษณะปกติเป็นอย่างไร และสามารถใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงในการประเมินผลการตรวจครั้งต่อๆ ไป4
• ปัจจุบันส่วนใหญ่เป็น แมมโมแกรมแบบดิจิทัล ที่จัดเก็บเป็นไฟล์คอมพิวเตอร์ สามารถขยายภาพและส่งต่อทางอิเล็กทรอนิกส์ได้3
ขั้นตอนการตรวจแมมโมแกรม5:
1. ยืนหน้ากล้องตรวจโดยใส่เสื้อคลุมทางการแพทย์คลุมท่อนบน
2. เจ้าหน้าที่จะจัดตำแหน่งเต้านมข้างหนึ่งไว้ระหว่างแผ่นสองแผ่นที่ค่อยๆ บีบให้เต้านมแบน จากนั้นจะทำการถ่ายภาพจากมุมต่างๆ
3. ทำซ้ำอีกครั้งกับเต้านมอีกข้าง
4. รังสีแพทย์ (แพทย์ที่ได้รับการฝึกอบรมในการอ่านภาพทางการแพทย์ เช่น ภาพเอกซเรย์ เพื่อวินิจฉัยและรักษาโรค) จะตรวจภาพเพื่อหาสัญญาณของมะเร็ง5
• บุคลากรทางการแพทย์จะตรวจดูเต้านมของคุณขณะคุณนั่งหรือนอนบนเตียงตรวจ
• บุคลากรทางการแพทย์จะตรวจหาความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่ผิดปกติ เช่น ก้อนผิวหนังผิดปกติ ความไม่สมมาตรของเต้านม รูปร่างของเต้านม หรือหัวนมเปลี่ยนแปลง

• การตรวจจะทำในท่าให้นอนหงาย วางมือข้างหนึ่งไว้หลังศีรษะ

• บุคลากรทางการแพทย์จะใช้มือคลำหาก้อนหรือความผิดปกติโดยใช้เทคนิค เช่น คลำแบบก้นหอย คลำในแนวนอนขึ้นลงขนานลำตัว หรือคลำแบบรูปลิ่ม

• หัวนมและต่อมน้ำเหลืองก็จะถูกตรวจด้วยเช่นกัน6

คล้ายกับการตรวจโดยบุคลากรทางการแพทย์แต่ทําด้วยตนเองที่บ้านเพื่อตรวจหาก้อนหรือความเปลี่ยนแปลงใดๆ7
1. ยืนเปลือยท่อนบนหน้ากระจก วางมือบนสะโพก

2. มองหาความเปลี่ยนแปลง เช่น ขนาด สี รูปทรง ลักษณะผิวหนังของเต้านม หรือของเหลวจากหัวนม

3. ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ แล้วตรวจซ้ำอีกครั้ง

4.ใช้มือคลำเต้านมตามเทคนิคที่ใช้ในการตรวจโดยบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งในท่ายืนและนอน7

แม้จะยังไม่มีหลักฐานว่าการตรวจเต้านมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอช่วยลดการเสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม แต่การรู้จักสภาพเต้านมของตนเอง (breast self-awareness) ช่วยให้คุณสามารถสังเกตความเปลี่ยนแปลงของเต้านมตนเองและแจ้งแพทย์ได้เร็วขึ้น2 3
• เป็นการตรวจภาพร่างกายที่ช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคและดูว่ามะเร็งลุกลามหรือไม่
• มักใช้ในผู้หญิงที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมสูง และทำร่วมกับแมมโมแกรม
• MRI ใช้แม่เหล็กและคลื่นวิทยุเพื่อสร้างภาพที่แสดงให้เห็นภายในร่างกายอย่างละเอียด
ขั้นตอนการตรวจ MRI 3 :
1. นอนคว่ำบนเตียงตรวจ โดยเต้านมห้อยลงผ่านช่อง
2. ฉีดสารสีเพื่อช่วยให้เห็นความผิดปกติของเนื้อเยื่อเต้านม
3. เตียงจะเลื่อนไปในเครื่องทรงกระบอก
4. อยู่ในเครื่อง 30–45 นาที โดยต้องนอนนิ่ง และอาจต้องกลั้นหายใจเป็นบางจังหวะ
5. เครื่องจะถ่ายภาพของเต้านมระหว่างนี้ และอาจมีเสียงดังขณะที่เครื่องทำงาน

แล้วผลตรวจแมมโมแกรมแปลว่าอย่างไร?3 10

• การแปลผลแมมโมแกรม: โดยใช้การประเมินแบบ BI‑RADS
• หลังการตรวจแมมโมแกรม รังสีแพทย์จะจัดผลการแปลผลแมมโมแกรมให้อยู่ในหมวดที่เรียก
ว่า BI‑RADS (ไบ-แรดส์) ซึ่งพัฒนาโดย American College of Radiology (ACR)3
ระบบนี้มีเป้าหมายเพื่อใช้ในการสื่อสารผลตรวจทางรังสีวิทยาให้ชัดเจนเป็นมาตรฐานเดียวกัน
แต่ละหมวด BI‑RADS จะมีความหมายชัดเจนพร้อมแนวทางการจัดการที่สอดคล้องกับโอกาส
ที่ความผิดปกตินั้นจะเป็นมะเร็ง

a.หมวดหมู่นี้ใช้สำหรับการตรวจเพิ่มเติม หลังจากยืนยันผลชิ้นเนื้อแล้วว่าเป็นมะเร็ง
แนวทางการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมตามอายุ3

แนวทางตาม American Cancer Society (ACS)
• สำหรับผู้มีความเสี่ยงโดยทั่วไป (เช่น ไม่เคยมีประวัติเป็นมะเร็งเต้านม ทั้งของตนเองและคนในครอบครัว, ไม่มีการกลายพันธุ์ของยีนที่มีความเกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านม เช่น ยีน BRCA, ไม่เคยรับการฉายแสงที่หน้าอกก่อนอายุ 30):
– อายุ 40–44 ปี : พิจารณาเลือกการตรวจแมมโมแกรมรายปีได้
– อายุ 45–54 ปี : แนะนําว่าควรได้รับการตรวจแมมโมแกรมทุกปี
– อายุ 55 ปีขึ้นไป : แนะนำว่าควรได้รับการตรวจแมมโมแกรมปีเว้นปี หรือทุกปีก็ได้
• แนะนำให้รับการตรวจคัดกรองต่อเนื่อง ถ้ายังมีสุขภาพดีสำหรับผู้มีความเสี่ยงสูง (เช่น มีการกลายพันธุ์ของยีน BRCA1/2 หรือเคยได้รับการฉายแสงที่หน้าอกก่อนอายุ 30): ควรได้รับการตรวจ MRI และแมมโมแกรมทุกปี ตั้งแต่อายุ 30 ปี3
แนวทางสำหรับผู้หญิงที่มีเต้านมหนา
(Dense Breasts)3

• เต้านมหนาคือเต้านมมีเนื้อเยื่อเส้นใยและเนื้อเยื่อต่อมมากกว่าเนื้อเยื่อไขมัน
→ ตรวจคัดกรองมะเร็ง เต้านมได้ยากขึ้น
• เนื้อเยื่อไขมันจะเห็นเป็นสีดำในแมมโมแกรม ส่วนเนื้อเยื่อหนา และมะเร็งจะขึ้นเป็นสีขาว เพราะฉะนั้นการมีเนื้อเยื่อหนาปริมาณมาก อาจทำให้สับสนได้ว่าเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่
• ควรได้รับการตรวจแมมโมแกรมตามปกติ แต่แพทย์อาจพิจารณาเสริมด้วยการทำ MRI หรือแมมโมแกรม 3 มิติ (3D)
• รายงานผลแมมโมแกรมส่วนใหญ่จะระบุว่าคุณมีเต้านมหนาหรือไม่
แนวทางการตรวจคัดกรองในเอเชีย8

• มีเพียง 13 ประเทศในเอเชียที่มีโครงการตรวจคัดกรองระดับชาต
• ส่วนมากแนะนำให้ตรวจแมมโมแกรม ปีเว้นปี เริ่มอายุ 40 ปี
• ปัจจัยที่ทําให้ผู้หญิงไม่เข้ารับการตรวจคัดกรองด้วยแมมโมแกรม เช่น ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมและการตรวจคัดกรอง อาย กลัวเจ็บ หรือความเชื่อส่วนตัว
ประโยชน์และข้อจำกัดของการตรวจคัดกรอง

องค์กรทางการแพทย์ส่วนใหญ่และแพทย์ส่วนมากเชื่อว่า ประโยชน์ของการตรวจคัดกรองมีมากกว่าความเสี่ยง คุณควรปรึกษาแพทย์เพื่อช่วยอธิบายประโยชน์และข้อจำกัดที่เหมาะกับสถานการณ์เฉพาะของคุณ และร่วมกันตัดสินใจ
ประโยชน์
การตรวจแมมโมแกรม หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ช่วยเพิ่มโอกาสในการตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะแรกๆ ซึ่งเป็นช่วงที่สามารถรักษาได้ง่ายกว่า และมีโอกาสรักษาได้สําเร็จมากกว่า3
ข้อจำกัด
ผลบวกลวง (False Positive)3 9
• ตรวจพบสิ่งที่ “ดูเหมือน” มะเร็ง แต่ความจริงไม่ใช่ มักมีการเรียกกลับมาตรวจแมมโมแกรมซํ้า หรือการตรวจอื่นๆ และอาจเจาะชิ้นเนื้อ เพื่อช่วยให้แพทย์ตรวจสอบได้ว่ามีมะเร็งหรือไม่
• เพิ่มความเครียด ความกังวล ค่าใช้จ่าย และต้องจัดสรรเวลาเพิ่มเติมสำหรับนัดหมายต่างๆ
• พบได้บ่อยในผู้หญิงอายุน้อย, มีเต้านมหนา, หรือการตรวจครั้งแรก
• สถิติ: ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้หญิงที่ตรวจแมมโมแกรมทุกปี ในเวลา 10 ปี จะได้รับผลบวกลวงอย่างน้อยหนึ่งครั้ง3
ผลลบลวง (False Negative)3
• บางครั้งแมมโมแกรมอาจตรวจไม่พบมะเร็งที่มีอยู่จริง
• ผู้หญิงที่มีเต้านมหนามักมีแนวโน้มในการได้รับผลลบลวงมากกว่า
จะเห็นได้ว่าการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งเต้านมเป็นการตรวจที่มีประโยชน์และคุ้มค่า สามารถเพิ่มโอกาสการตรวจพบมะเร็งตั้งแต่ระยะต้น นำไปสู่ความสำเร็จในการรักษาได้ อย่างไรก็ตามการตรวจยังมีข้อจำกัดบางส่วน เช่น ผลลบลวง หรือผลบวกลวง ซึ่งสร้างความกังวล และสับสนให้กับผู้รับการตรวจได้ แพทย์จึงแนะนําให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านเต้านมเมื่อตรวจพบว่ามีความผิดปกติ
1. Pathy NB, Yip CH, Taib NA, et al. Breast cancer in a multi-ethnic Asian setting: results from the Singapore-Malaysia hospital-based breast cancer registry. Breast. 2011;20 Suppl 2:S75-S80. doi:10.1016/j.breast.2011.01.015.
2. National Cancer Institute. Breast cancer screening. Available at: https://www.cancer.gov/types/breast/patient/breast-screening-pd [Last accessed: 11 December, 2024].
3. American Cancer Society. Breast Cancer Early Detection and Diagnosis. Available at: https://www.cancer.org/content/dam/CRC/PDF/Public/8579.00.pdf [Last accessed: 11 December, 2024].
4. Horsley RK, Kling JM, Vegunta S, Lorans R, Temkit H, Patel BK. Baseline Mammography: What Is It and Why Is It Important? A Cross-Sectional Survey of Women Undergoing Screening Mammography. J Am Coll Radiol. 2019 Feb;16(2):164-169. doi: 10.1016/j.jacr.2018.07.002. Epub 2018 Sep 13. PMID: 30219346.
5. Centers for Disease Control and Prevention. About Mammograms. Available at: https://www.cdc.gov/breast-cancer/about/mammograms.html [Last accessed: 11 December, 2024].
6. Henderson JA, Du ee D, Ferguson T. Breast Examination Techniques. [Updated 2023 Jan 16]. In: StatPearls [Internet]. Treasure Island (FL): StatPearls Publishing; 2024 Jan. Available at: https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK459179/ [Last accessed: 11 December, 2024].
7. Breastcancer.org. Breast Self-Exam. Available at: https://www.breastcancer.org/screening-testing/breast-self-exam-bse [Last accessed: 11 December, 2024].
8. Lim, Y. X., Lim, Z. L., Ho, P. J., & Li, J. (2022). Breast Cancer in Asia: Incidence, Mortality, Early Detection, Mammography Programs, and Risk-Based Screening Initiatives. Cancers, 14(17), 4218. https://doi.org/10.3390/cancers14174218
9. The American College of Obstetricians and Gynecologists. Breast Cancer Risk Assessment and Screening in Average-Risk Women. Available at: https://www.acog.org/clinical/clinical-guidance/practice-bulletin/articles/2017/07/breast-cancer-risk-assessment-and-screening-in-average-risk-women [Last accessed: 11 December, 2024].
10. The American College of Radiology. ACR BI-RADS® Atlas — Mammography: Reporting System. Available at: https://edge.sitecorecloud.io/americancoldf5f-acrorgf92a-productioncb02-3650/media/ACR/Files/RADS/BI-RADS/Mammography-Reporting.pdf [Last accessed: 18 June, 2025].
การวินิจฉัยมะเร็งเต้านม1
Breast Cancer Diagnosis

มีหลายวิธีที่ใช้ในการวินิจฉัยมะเร็งเต้านมรวมถึงการตรวจดูว่ามะเร็งมีการลุกลามจากเต้านมไปยังอวัยวะส่วนอื่นไม่ว่าจะใกล้หรือไกลหรือไม่ วิธีเหล่านี้อาจรวมถึงการซักประวัติทางการแพทย์การตรวจร่างกาย การตรวจแมมโมแกรมแบบวินิจฉัย การตรวจเจาะชิ้นเนื้อ (biopsy) การตรวจเลือด และการตรวจอื่นๆ
โดยทั่วไปแล้ว การตรวจแมมโมแกรมวินิจฉัย และการตรวจภาพทางรังสีอื่นๆ มักจะเป็น
ขั้นตอนแรกของการวินิจฉัยจากนั้นหากพบความผิดปกติ แพทย์จะแนะนำให้เจาะชิ้นเนื้อ (biopsy) ไปตรวจเพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งหรือไม่1
ขั้นตอนวินิจฉัยมะเร็งเต้านม
(Diagnostic Procedures)


การวินิจฉัยมะเร็งเต้านมมักเริ่มขึ้นเมื่อแพทย์คลำพบก้อนระหว่างการตรวจร่างกาย หรือผู้ป่วยคลำเจอเอง และ/หรือพบความผิดปกติจากการตรวจแมมโมแกรม1
ขั้นตอนต่อไปอาจประกอบด้วย:
แมมโมแกรมแบบวินิจฉัย คล้ายกับการตรวจแมมโมแกรมในการคัดกรองทั่วไป แต่จะถ่ายภาพ (x-ray) เต้านมเพิ่มเติม1

การตรวจอัลตราซาวนด์ใช้คลื่นเสียงเพื่อสร้างภาพของอวัยวะและเนื้อเยื่อ ช่วยให้แพทย์ระบุได้ว่า “ก้อน” ที่พบเป็นเนื้องอกหรือถุงน้ำที่ไม่ใช่มะเร็ง1

หากผลจากการตรวจภาพบ่งชี้ว่าอาจเป็นมะเร็ง แพทย์จะทำการเจาะชิ้นเนื้อ เพื่อนำชิ้นเนื้อบางส่วนจากบริเวณที่ผิดปกติมาตรวจ และยืนยันว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ รวมถึงสามารถบอกได้ว่าเป็นมะเร็งชนิดใด1

ประเภทของการเจาะชิ้นเนื้อ (Biopsy)
มีหลายประเภท โดยแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาวิธีเจาะชิ้นเนื้อที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน
ประเภทของการเจาะชิ้นเนื้อ ได้แก่:
• Core needle biopsy
เป็นวิธีที่นิยมใช้มากที่สุด โดยจะใช้เข็มขนาดใหญ่แบบกลวง เพื่อเก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อเป็นแท่งเล็กๆ1
• Fine needle aspiration biopsy
ใช้เข็มขนาดเล็กกว่าเพื่อดูดตัวอย่างเซลล์จํานวนเล็กน้อยออกมาตรวจ1 โดยส่วนใหญ่จะทำในบริเวณต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ในจุดที่สงสัยว่ามะเร็งกระจายไปจากการตรวจแมมโมแกรม หรืออัลตราซาวน์
หากแพทย์สงสัยว่ามะเร็ง
ได้ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น3

หากแพทย์สงสัยว่ามะเร็งเต้านมมีการกระจายไปยังอวัยวะอื่น เช่น ปอด สมอง ตับ หรือกระดูก
อาจมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น:
• การตรวจภาพวินิจฉัย เช่น การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) หน้าอก และช่องท้องส่วนบน
• การตรวจที่มีความจําเพาะอื่น ๆ เช่น การตรวจ Bone scan เพื่อตรวจหาว่ามะเร็งกระจายไปกระดูกหรือไม่
1. American Cancer Society. Breast Cancer Early Detection and Diagnosis. Available at: https://www.cancer.org/cancer/types/breast-cancer/screening-tests-and-early-detection.html [Last accessed: 6 November 2024].
2. National Cancer Institute. Sentinel Lymph Node Biopsy. Available at: https://www.cancer.gov/about-cancer/diagnosis-staging/staging/sentinel-node-biopsy-fact-sheet [Last accessed: 6 November 2024].
3. National Comprehensive Cancer Network. Metastatic Breast Cancer. Available at: https://www.nccn.org/patients/guidelines/content/PDF/stage_iv_breast-patient.pdf
[Last accessed: 6 November 2024].
หลังจากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเต้านมแล้ว ขั้นตอนที่สำคัญถัดไปคือ การตรวจ Biomarker ของชิ้นเนื้อมะเร็ง เพื่อระบุว่าเป็นมะเร็งเต้านมชนิดใด เพราะชนิดของมะเร็ง มีผลโดยตรงต่อการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสม3 ดังนั้นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทุกราย ควรได้รับการตรวจชิ้นเนื้อเพื่อหาชนิดของมะเร็งเต้านมก่อนเริ่มการรักษา รวมถึงการผ่าตัดเนื่องจากมะเร็งเต้านมแต่ละชนิดมีวิธีการรักษา และการตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกันไป1 2 14
ทำความเข้าใจเรื่อง Biomarkers และ
ชนิดของมะเร็งเต้านม


อะไรคือ “biomarkers” ของมะเร็งเต้านม?
Biomarkers คือ สารบ่งชี้ที่สามารถพยากรณ์โรค และแนวทางการรักษาของโรคมะเร็งได้ โดยสารนี้ขึ้นอยู่กับมะเร็งแต่ละชนิด อาจพบในเลือด หรือบนชิ้นเนื้อได้
สำหรับมะเร็งเต้านม สารบ่งชี้ที่สำคัญส่วนใหญ่จะอยู่บนเนื้อเยื่อเต้านม ซึ่งช่วยบอกว่ามะเร็งเต้านมที่เป็นเป็นประเภทใด1 ผลการตรวจ biomarker ช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและเลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วย1
Biomarkers ของมะเร็งเต้านมมีประโยชน์อย่างไร?

Biomarkers สามารถ:
• ช่วยแพทย์ในการระบุชนิดของมะเร็งเต้านม
• ช่วยให้แนวทางแก่แพทย์ ในการวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
ทำความเข้าใจเรื่อง Biomarkers และชนิดของมะเร็งเต้านม

1. ตัวรับเอสโตรเจน (Estrogen Receptor: ER)2

2. ตัวรับโปรเจสเตอโรน (Progesterone Receptor: PR)2

3. ตัวรับเฮอร์ทู (Human Epidermal Growth Factor Receptor 2: HER2)

ชนิดของมะเร็งเต้านม (Breast Cancer Subtypes)

ชนิดของมะเร็งเต้านมสามารถจำแนกตามผลของ biomarkers ได้แก่ ER, PR และ HER-2 โดยแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก2 คือ
มะเร็งชนิดนี้มี ER+ และ/หรือ PR+ 3 8
มะเร็งชนิดนี้มีระดับโปรตีน HER2 สูง9 10
มะเร็งชนิดนี้ไม่มีทั้ง ER, PR และ HER2 (เป็น ER–, PR–, HER2–)11 มีแนวโน้มรุนแรง แพร่กระจายเร็ว และอาจไม่ตอบสนองต่อการรักษาบางชนิด9 หากพบว่าเป็น TNBC → การตรวจยีนพันธุกรรม BRCA อาจช่วยในการวางแผนการรักษาได้12
1. Strimbu K, Tavel JA. What are biomarkers?. Curr Opin HIV AIDS. 2010;5(6):463-466. doi:10.1097/COH.0b013e32833ed177.
2. Zhou Y, Tao L, Qiu J, et al. Tumor biomarkers for diagnosis, prognosis and targeted therapy. Signal Transduct Target Ther. 2024;9(1):132. Published 2024 May 20. doi:10.1038/
s41392-024-01823-2.
3. American Cancer Society. Breast Cancer Hormone Receptor Status. Available at: https://www.cancer.org/cancer/types/breast-cancer/understanding-a-breast-cancer-diagnosis/breast-cancer-hormone-receptor-status.html [Last accessed: 15 November 2024].
4. Clusan L, Ferrière F, Flouriot G, Pakdel F. A Basic Review on Estrogen Receptor Signaling Pathways in Breast Cancer. Int J Mol Sci. 2023;24(7):6834. Published 2023 Apr 6. doi:10.3390/ijms24076834.
5. National Cancer Institute. NCI’s Dictionary of Cancer Terms: estrogen receptor negative. Available at: https://www.cancer.gov/publications/dictionaries/cancer-terms/def/estrogen-receptor-negative [Last accessed: 15 November 2024].
6. Li Z, Wei H, Li S, Wu P, Mao X. The Role of Progesterone Receptors in Breast Cancer. Drug Des Devel Ther. 2022;16:305-314. Published 2022 Jan 26. doi:10.2147/DDDT.S336643.
7. National Cancer Institute. NCI’s Dictionary of Cancer Terms: hormone receptor negative. Available at: https://www.cancer.gov/publications/dictionaries/cancer-terms/def/hormone-receptor-negative [Last accessed: 15 November 2024].
8. Kay C, Martínez-Pérez C, Meehan J, et al. Current trends in the treatment of HR+/HER2+ breast cancer. Future Oncol. 2021;17(13):1665-1681. doi:10.2217/fon-2020-0504.
9. Breast Cancer Trials. Breast Cancer Types. Available at: https://www.breastcancertrials.org.au/breast-cancer-resources/breast-cancer-types/ [Last accessed: 15 November 2024].
10. Cleveland Clinic. HER2-Positive Breast Cancer. Available at: https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/25213-her2-positive-breast-cancer [Last accessed: 15 November 2024].
11. Orrantia-Borunda E, Anchondo-Nuñez P, Acuña-Aguilar LE, Gómez-Valles FO, Ramírez-Valdespino CA. Subtypes of Breast Cancer. In: Mayrovitz HN, ed. Breast Cancer. Brisbane
(AU): Exon Publications; August 6, 2022.
12. Ballatore Z, Pistelli M, Bracci R, Maccaroni E, Belvederesi L, et al. Triple-negative breast cancer and BRCA mutation: looking at the future. Annals of Oncology, Volume 27, vi50, October 1, 2016.
13. Bowman, A. (2024, July 24). HER2-positive breast cancer treatments. Mayo Clinic Press. https://mcpress.mayoclinic.org/cancer/her2-positive-breast-cancer-treatments/
14. National Comprehensive Cancer Network. NCCN Clinical Practice Guidelines in Oncology: Breast Cancer. Version 4.2024, National Comprehensive Cancer Network, 2024. Available at: https://www.nccn.org/guidelines/guidelines-detail?category=1&id=1419 [Last accessed: 15 August 2025].

มะเร็งเต้านมชนิด
Triple-Neg

บทความโดย
พญ.ปิยวรรณ เทียนชัยอนันต์
อายุรแพทย์มะเร็งวิทยา
โรงพยาบาลราชวิถี


มะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative คืออะไร

มะเร็งเต้านม triple negative breast cancer หรือ TNBC คือ มะเร็งเต้านมชนิดไม่มีตัวรับทั้งสามชนิดได้แก่
• ตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen Receptor หรือ ER)
• ตัวรับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน (Progesterone Receptor หรือ PR)
• ตัวรับเฮอร์ทู (HER-2 Receptor)
ซึ่งสามารถทราบได้จากจากการเจาะชิ้นเนื้อมะเร็งเต้านม (biopsy) เพื่อตรวจหาตัวรับทั้ง 3 ชนิด โดยการย้อมพิเศษและไม่เจอตัวรับทั้ง 3 ชนิด

มะเร็งเต้านม ชนิด
ตัวรับฮอร์โมนเป็นบวก
(Hormone-Positive Breast Cancer)

มะเร็งเต้านม ชนิด
ตัวรับเฮอร์ทูเป็นบวก
(HER-2 Positive Breast Cancer)

มะเร็งเต้านม
ไม่มีตัวรับทั้งสามชนิด
(Triple-Negative Breast Cancer หรือ TNBC)

คำอธิบายภาพ
การเจาะชิ้นเนื้อ (biopsy) เพื่อเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อไปตรวจหาชนิดของมะเร็งเต้านม
ผลการตรวจชิ้นเนื้อและการย้อมพิเศษของตัวรับทั้งสามชนิด จะให้ข้อมูลสำคัญในการเลือกวิธีการรักษาสำหรับโรคมะเร็งเต้านม ดังนั้นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทุกราย ควรได้รับการตรวจชิ้นเนื้อเพื่อหาชนิดของมะเร็งเต้านมก่อนเริ่มการรักษารวมถึงการผ่าตัดเนื่องจากมะเร็งเต้านม แต่ละชนิดมีวิธีการรักษา และการตอบสนองต่อการรักษาที่แตกต่างกันไป
• ควรทำการปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับชนิดของมะเร็งเต้านมก่อนตัดสินใจทำการผ่าตัด
• การทราบชนิดของมะเร็งเต้านมจะช่วยให้แพทย์ตัดสินใจวางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้
ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มะเร็งเต้านมชนิด triple negative breast cancer พบได้บ่อยประมาณ 9-13 %1 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมทั้งหมด โดยมักพบในผู้หญิงอายุน้อยกว่า 40 ปี
การรักษามะเร็งเต้านมชนิด triple negative breast cancer

เนื่องจากมะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative ไม่มีทั้งตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน (ER) โปรเจสเตอโรน (PR) และ ตัวรับเฮอร์ทู (HER-2) จึงไม่สามารถใช้ยาต้านฮอร์โมน และยาต้านเฮอร์ทูได้ การรักษามะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative ขึ้นอยู่กับระยะของโรค โดยจะพิจารณาจาก ขนาดของก้อนมะเร็ง การแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ และการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ
เมื่อทราบระยะของมะเร็งเต้านมแล้ว สามารถพิจารณาการรักษาได้ตามระยะของโรค ดังนี้
มะเร็งเต้านมระยะที่หนึ่ง คือระยะที่ก้อนมะเร็งที่เต้านมมีขนาดไม่เกินสองเซนติเมตร และตรวจไม่พบมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้
การรักษาคือ จะใช้วิธีการผ่าตัดเต้านมและพิจารณาให้ยาเคมีบำบัดหลังผ่า

มะเร็งเต้านม ระยะที่ 2 และ 3 คือ ระยะที่ก้อนมะเร็งที่เต้านมมีขนาดเกินสองเซนติเมตร (ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีการกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง) หรือตรวจพบว่ามีการกระจายมะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้
การรักษาคือ การให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่าตัด และอาจจะให้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดก่อนการผ่าตัดร่วมด้วย และตามด้วยการผ่าตัดเต้านมรวมถึงต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ ในผู้ป่วยบางรายอาจจะพิจารณาให้ยาต่อหลังผ่าตัดด้วย

มะเร็งเต้านม ระยะที่ 4 คือ ระยะที่มะเร็งมีการแพร่กระจายไปที่อวัยวะอื่น
การรักษาจะให้ยาเคมีบำบัดเป็นหลัก แพทย์อาจให้การรักษาเสริมด้วยยาภูมิคุ้มกันบำบัด ในกรณีที่ผู้ป่วยได้รับการตรวจชิ้นเนื้อแล้วพบว่ามีโปรตีนที่ชื่อว่า PD-L1 (Programmed death-ligand 1) ตั้งแต่ 10 คะแนนขึ้นไป
การให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่าตัด
(Neoadjuvant chemotherapy)


สำหรับโรคมะเร็งเต้านมระยะต้น การให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่าตัดหรือหลังผ่าตัด มีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน แต่การให้ยาเคมีบําบัดก่อนผ่าตัดในมะเร็งเต้านมชนิด triple negative ระยะที่สอง และระยะที่สาม มีข้อดีหลายอย่าง ได้แก่
1. ช่วยให้การผ่าตัดทำได้ง่ายขึ้น
การให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่าทำให้ก้อนมะเร็งเต้านมมีขนาดเล็กลง สามารถผ่าตัดแบบสงวนเต้านมได้ ทำให้ผู้ป่วยยังคงมีเต้านมหลังผ่าตัดได้ รวมถึงการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ การให้ยาเคมีบำบัดก่อน จะทำให้ก้อนที่ต่อมน้ำเหลืองมีขนาดเล็กลง ลดการผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลืองออกทั้งหมด ความเสี่ยงที่จะแขนบวมหลังผ่าตัดจึงลดลง
2. ช่วยประเมินผลการตอบสนองต่อยา
การให้ยาเคมีบําบัดก่อนผ่าตัดในขณะที่ยังมีก้อนที่เต้านมอยู่ ทำให้ระหว่างที่ให้ยาเคมีบำบัด สามารถตรวจติดตามขนาดก้อนได้ว่า ระหว่างให้ยาก้อนเล็กลงไปแค่ไหน และมีการตรวจแมมโมแกรมเพิ่มเติม เพื่อประเมินการตอบสนองของโรคได้ เป็นการทดสอบว่าการรักษาที่ให้ไปได้ผลหรือไม่ ถ้าขนาดก้อนยังไม่เล็กลงหรือยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ก็อาจจะมีการปรับยา หรือวางแผนการรักษา ในขั้นตอนต่อไปหลังผ่าตัดได้ว่าจะมีการให้อะไรเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้ดีขึ้นได้ เปรียบเทียบกับการที่ผ่าตัดไปแล้ว และให้ยาเคมีบําบัดทีหลังจะไม่มีก้อนมะเร็งเหลือให้ติดตามการตอบสนองต่อยาเคมีบำบัดได้
3. ช่วยวางแผนการรักษาในขั้นตอนต่อไป
แพทย์จะพิจารณาผลการตอบสนองต่อยาที่ให้ก่อนผ่าตัดเพื่อปรับแผนการรักษา เช่น หากให้ยาเคมีบําบัดแล้ว หลังการผ่าตัดมะเร็งเต้านม ถ้าไม่มีรอยโรคมะเร็งเต้านมเหลืออยู่เลย กลุ่มผู้ป่วยเหล่านี้มีการพยากรณ์โรคที่ดีมาก แต่หากตรวจพบว่ายังมีรอยโรคมะเร็งเต้านมอยู่ แสดงว่าตอบสนองไม่ดีต่อการให้ยาเคมีบำบัดก่อนผ่า จะมีการให้ยาเพิ่มเติมหลังผ่าตัด เพื่อให้เพิ่มระยะเวลาการควบคุมโรคได้
สำหรับโรคมะเร็งเต้านมชนิด triple negative ระยะที่สอง ระยะที่สาม ที่มีการวางแผนให้ยาเคมีบําบัดก่อนผ่าตัด นอกเหนือจากยาเคมีบำบัดที่มีประสิทธิภาพดีแล้ว ยังมียาในกลุ่มภูมิคุ้มกันบำบัดที่ให้ร่วมกับยาเคมีบำบัด ซึ่งมีประโยชน์ในการเพิ่มอัตราการตอบสนองของตัวโรคมะเร็ง และระยะเวลาการกลับมาของตัวโรคมะเร็งได้ด้วย ทั้งนี้ต้องปรึกษากับแพทย์ผู้ดูแลเป็นหลัก เนื่องจากผู้ป่วยแต่ละรายมีรายละเอียดของโรคที่แตกต่างกัน
ภูมิคุ้มกันบำบัดกับการรักษา
มะเร็งเต้านมชนิด triple negative breast cancer

กลไกการทำงานของยาภูมิคุ้มกันบำบัด
ภูมิคุ้มกันบำบัดเป็นการใช้ภูมิคุ้มกันของร่างกายในการกำจัดเซลล์มะเร็ง ในภาวะปกติสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย เช่นเชื้อโรค จะถูกระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายกำจัด แต่พบว่าเซลล์มะเร็งที่จัดว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมของร่างกายกลับไม่ถูกกำจัดโดยภูมิคุ้มกันของร่างกาย
โดยที่การศึกษาพบว่าเซลล์มะเร็งมีการขัดขวางการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายโดยใช้ตัวรับเช็คพอยต์ (immune checkpoint receptor) บนเซลล์มะเร็งจับกับตัวรับเช็คพอยต์บนเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้มีผลยับยั้งการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว และมีผลให้เซลล์มะเร็งไม่ถูกทำลาย เมื่อผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยยายับยั้งการทำงานที่อิมมูนเช็คพอยต์ (immune checkpoint inhibitors)ที่เป็นยาที่พัฒนาขึ้นใหม่ มีกลไกการทำงาน โดยยับยั้งกระบวนการที่เซลล์มะเร็งขัดขวางการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ทำให้เม็ดเลือดขาวกลับมาทำงานได้ปกติเละสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับยาภูมิคุ้มกันบำบัดได้ที่ ภูมิคุ้มกันบำบัด – about Thai cancer
ข้อบ่งชี้ของยาภูมิคุ้มกันบำบัดในการรักษามะเร็งเต้านมชนิด triple negative breast cancer
ปัจจุบันยาภูมิคุ้มกันบำบัดมีข้อบ่งใช้ที่ได้รับอนุมัติจากองค์การอาหารและยา ให้ใช้รักษาได้ในมะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative ทั้งระยะต้นและระยะแพร่กระจาย ทั้งนี้หากท่านตรวจพบเป็นมะเร็งเต้านมชนิด Triple Negative ควรปรึกษาแพทย์เพิ่มเติม เพื่อวางแผนการรักษาร่วมกัน
วิดีโอขั้นตอนและวิธีการรักษามะเร็งเต้านม

การรักษามะเร็งเต้านม
ชนิด Triple Negative
ระยะแรก
ข้อมูลเกี่ยวกับมะเร็งเต้านมชนิดไม่มีตัวรับ
และไม่มี HER2 ที่เรียกว่า Triple negative
และการรักษาที่เกี่ยวข้อง
การรักษามะเร็งเต้านม
ชนิด Triple negative
ระยะแพร่กระจาย
ข้อน่ารู้สำหรับการรักษามะเร็งเต้านม
Triple negative ระยะลุกลาม
บทความอื่นๆ

TH-OBR-00091 09/2024